โอดอยเติมความจี๊ด
หนึ่งในส่วนสำคัญที่ เชลซี กลับมาเก็บหนึ่งแต้มที่รัง เดอะ ฮอว์ธอร์นส์ คือการเปลี่ยนตัวของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด
ในช่วงพักครึ่งเวลา โดยเขาถอดทั้ง มาร์กอส อลอนโซ่ และมาเตโอ โควาซิช ออกแล้วส่ง เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า และคัลลั่ม ฮัดสัน-โอดอย ลงไปเล่นแทน ผลปรากฎว่าเกมรุกฝั่งซ้ายของทีมอันตรายขึ้นอย่างชัดเจน
โดย อัซปิลิกวยต้า ลงมาทำแอสซิสต์ให้กับ เมสัน เมาท์น ยิงตีไข่แตก แต่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือฟอร์มของ ฮัดสัน-โอดอย ที่โชว์ลีลาเลี้ยงจี้คู่แข่งจนหัวหมุน, ครอสบอลงามๆ 2-3 ครั้ง, เชื่อมเกมกับ ฮาแวร์ตซ์ และยังยิงประตูสำคัญให้ทีมไล่มา 3-2 ด้วย แม้ว่า 12 เดือนที่ผ่านมาเจ้าหนูวัย 19 ปีรายนี้จะเจอกับเรื่องยากลำบากทั้งอาการบาดเจ็บบ่อยครั้งและการแข่งขันในทีมจนทำให้เขาได้รับโอกาสสัมผัมสนามน้อย มีข่าวว่าเขาอาจถูกปล่อยยืมตัวในช่วงโค้งสุดท้ายของตลาดนักเตะ ทว่าหลังจากที่ได้เห็นฟอร์มในเกมนี้บวกกับการที่ทีมยังขาด คริสเตียน พูลิซิช และ ฮาคิม ซีเย็ค จึงน่าจะเป็นการเตือนสติ แลมพาร์ด ว่า โอดอย duck-tarpaulins.com ยังเป็นส่วนสำคัญในทีมชุดนี้อยู่ ความพ่ายแพ้สองนัดแรกและการเสียถึง 5 ประตูบวกกับอีก 1 ใบแดง คงไม่ใช่สิ่งที่ทัพ “เดอะ แบ็กกี้ส์” หวังเอาไว้กับการรีเทิร์นสู่ลีกสูงสุดอีกครั้ง แต่สำหรับเกมนี้ลูกทีมของ สลาเวน บิลิช โชว์ให้เห็นถึงความใจสู้และสปิริต รวมถึงความตั้งใจเล่นเกมบุกมากขึ้นด้วย
จังหวะการเคาน์เตอร์-แอทแท็กทำได้ค่อนข้างดีมีระบบกว่าสองนัดที่ผ่านมา ความจริงนี่ควรเป็นสามแต้มที่ยิ่งใหญ่สำหรับพวกเขา
แต่ถึงจะเก็บผลเสมอมาก็ถือว่าพวกเขาอยู่ในทิศทางที่ดีมากขึ้น ทว่าต่อจากนี้เป็นบทพิสูจน์ว่า เวสต์บรอมวิช จะต่อยอดฟอร์มแบบนี้กับทีมอื่นได้หรือไม่ โดยอีก 4 นัดต่อไป เวสต์บรอม จะเจอโปแรกมไม่หนักมากนัก (เซาธ์แฮมป์ตัน, เบิร์นลี่ย์, ไบรท์ตัน และฟูแล่ม)
ภายใน 4 นัดนี้พวกเขาต้องเก็บสามแต้มแรกของซีซั่นให้ได้ ไม่อย่างนั้นมีแววจะต้องลุ้นหนีตกชั้นเหนื่อยทีเดียว อย่างไรก็ตาม “มวยโลก” คงต้องหลีกเลี่ยงการเกิดหตุการณ์แบบเกมนี้อีก ซึ่งนี่เป็นครั้งที่ 3 แล้วที่พวกเขานำคู่แข่งถึง 3 ประตูขึ้นไปแต่พลาดเก็บชัยชนะซึ่งมากที่สุดพรีเมียร์ลีกแล้ว ปิดท้ายกันด้วยสถิติน่าสนใจเกมนี้ โดย เชลซี เป็นทีมแรกในพรีเมียร์ลีกนับตั้งแต่ เวสต์แฮม ปี 2011 ที่สามารถรอดจากความพ่ายแพ้ทั้งที่จบครึ่งแรกตามหลังคู่แข่งถึง 3 ประตูขึ้นไป ซึ่งปีนั้นทีม เวสต์บรอมวิช นี่เองที่โดน “ขุนค้อน” ตามตีเสมอ 3-3 อย่างไรก็ตาม “สิงห์บลูส์” ยังคงทำสถิติการเสียประตูย่ำแย่ต่อเนื่องโดยพวกเขาพลาดเก็บคลีนชีทในเกมเยือน 20 จาก 21 นัดภายใต้การคุมทีมของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด
ส่วน ติอาโก้ ซิลวา โดนรับน้องตั้งแต่เกมแรกหลังทำสถิติเป็นนักเตะ “เอ๊าฟิลด์” ที่ลงประเดิมสนามในพรีเมียร์ลีกแล้วทำพลาดจนเสียประตู นับตั้งแต่ อิสซ่า ดิย็อป ของ เวสต์แอม ที่ลงเดบิวต์ในเกมพบ อาร์เซน่อล เดือนสิงหาคม ปี 2018
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น